“เอกนัฏ” แนะ SMEs รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ชง 5 แนวทางเสริมแกร่ง

27 กรกฎาคม 2568
“เอกนัฏ” แนะ SMEs รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ชง 5 แนวทางเสริมแกร่ง

“เอกนัฏ” แนะ SMEs รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ชง 5 แนวทางเสริมแกร่ง

“เอกนัฏ” แนะ SMEs จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก พร้อมเสนอ 5 แนวทางเสริมแกร่งที่ต้องเร่งดำเนินการ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในการปาฐกถาในงาน THAILAND SMART SME 2025 SMART “SOLUTION & SUSTAINABLE GROWTH” ซึ่งจัดโดยโพสต์ทูเดย์ ว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก มากกว่าที่จะมุ่งกังวลแต่เรื่องภาษีตอบโต้ทางการค้า (Countervailing Duty) ซึ่งมีแนวโน้มจะประกาศใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

ทั้งนี้ มองว่า Dump อาจจะน่ากลัวกว่า Trump ซึ่งหมายถึงสินค้าที่อาจไหลทะลักเข้ามาจากจากซัพพลายส่วนเกินที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาภายในประเทศที่เร่งด่วนกว่า แทนที่จะมัวแต่คาดการณ์อัตราภาษีหรือมุ่งเจรจาเพียงอย่างเดียว

โดยสิ่งที่ควรทำคือการจัดการปัญหาภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยแข็งแรงและมีความพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่ง5 โจทย์หลักที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย

  1. การปราบปรามอุตสาหกรรมและธุรกิจศูนย์เหรียญ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากิน ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหล็ก พลาสติก และปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไทยเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเหล่านี้โดยเข้าใจผิดว่าการลงทุนมาผลิตในประเทศจะดีทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ทั้งการนำเข้าวัตถุดิบมา

ซึ่งธุรกิจดังกล่าวเหล่านี้มักไม่จ้างแรงงานท้องถิ่น และนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียมูลค่า คุณภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยจะหายไปด้วย

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมากระทรวงฯเร่งรื้อโครงสร้างการกำหนดมาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับสินค้าสำคัญอย่างสายไฟ เหล็ก และยางล้อ รวมถึงจัดการธุรกิจรีไซเคิลที่ได้รับใบอนุญาตจำนวนมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแต่กลับลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพมาขายแข่งในประเทศ

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า หากกลุ่มเหล่านี้ยังคงอยู่ ธุรกิจที่ดีของไทยก็อยู่ไม่ได้ ปัจจุบันมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ (DSI), กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.), กรมศุลกากร, และกรมสรรพสามิต เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้

  1. มาตรการดูแลสินค้านำเข้าที่กำลังทะลักเข้ามาในประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน สินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออกแต่ไม่สามารถส่งออกได้กำลังทะลักเข้ามาขายในประเทศอื่น รวมถึงไทย การนำเข้าต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีมาตรฐานไม่ใช่สินค้าเถื่อนโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อขายทางออนไลน์ ซึ่งมีช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ตรวจสอบผู้ขายได้ยาก
  2. กระแสชาตินิยมและปลุกการบริโภคสินค้าในประเทศ ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อส่งเสริมการบริโภคสินค้าไทย และผลักดันนโยบาย Thai Gift Policy โดยเสนอให้เปลี่ยนจากการมี no gift policy สำหรับข้าราชการ มาเป็นการสนับสนุนการซื้อของขวัญที่เป็นสินค้าไทยแทน พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กองทัพ หรือโรงพยาบาล เริ่มจัดซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนไทยมากขึ้น
  3. การส่งเสริมความสามารถของคนไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นนี้ครอบคลุมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Capability) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศ รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนที่เข้ามาควรต้องมีเงื่อนไขให้เกิดการลงทุนตรงกับคนไทยและธุรกิจไทย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มอบนโยบายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดทำมาตรการที่จูงใจนักลงทุน โดยการขยายพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นจาก 1 หมื่นไร่เป็น 3 หมื่นไร่ แต่จะต้องกำหนดพื้นที่ให้กับ SMEs 5% ในพื้นที่นิคมฯ ด้วยเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการพัฒนาคนโดยให้มีศูนย์ฝึกอบรมหรือ Academy ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน เช่น ทักษะด้าน Automation, Digital, และ AI

  1. ลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยมีเป้าหมายคือการสร้างระบบที่รวดเร็วและสุจริต มีกติกาที่สะดวกรวดเร็วสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนและทำมาค้าขายในประเทศไทย กระบวนการออกใบอนุญาตที่ล่าช้าเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรมากนักก็สามารถขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายที่ส่งเสริมความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ

“หาก SMEs ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจตายลง เศรษฐกิจของประเทศก็ไปต่อไม่ได้ ดังนั้น นโยบายเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยปกป้อง SMEs ของไทย แต่ยังเป็นการเซฟเศรษฐกิจขอ’ไทยด้วย ทั้ง 2 เรื่องแยกออกกันไม่ได้"


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.